วันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 เวลา 17:58 น.
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) ร่วมกันจับกุม นายเฉลิมพล อายุ 50 ปี คนขับ และต่างด้าว สัญชาติ เมียนมา 12 คน พร้อมตรวจยึดของกลาง
1. รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น วีโก้ สีดำ จำนวน 1 คัน
2. กุญแจรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น วีโก้ สีดำ จำนวน 1 ดอก
3. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อไอโฟน สีส้ม จำนวน 1 เครื่อง โดยจับกุมได้ที่ทางหลวงหมายเลข 333 กม.64 (ขาเข้า อ.อู่ทอง) อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี
สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้มีการสืบสวนถึงเส้นทางที่มีการลักลอบขนคนต่างด้าวผิดกฎหมายเข้ามาในพื้นที่ กทม. และ ปริมณฑล ที่ผ่าน จ.สุพรรณบุรี โดยสืบทราบว่า จะมีการลักลอบนำพาบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย โดยใช้เส้นทางต้นทางจาก อ.วังเจ้า จ.ตาก - อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร - อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี - แยกบ้านไร่ จ.อุทัยธานี- ทล.333 เมื่อมาถึง จ.สุพรรณบุรี จะใช้เส้นทางหลวง 333 ด่านช้าง – อู่ทอง ต่อมารถวิทยุตรวจการณ์ ออกตรวจสังเกตการณ์ในเขตพื้นที่ตาม ที่ได้รับข้อมูลพบ รถยนต์บรรทุกส่วนดังกล่าว ซึ่งตามข้อมูลเป็นรถยนต์นำพาบุคคลต่างด้าว ขับขี่มาตามถนนด่านช้าง - อู่ทอง ทางหลวงหมายเลข ๓๓๓ ซึ่งลักษณะรถบรรทุกสิ่งของหนัก โดยสังเกตุรถยนต์มีน้ำหนักมากกว่ารถยนต์ปกติ สอดคล้องต้องสงสัยว่ามีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการขนย้ายแรงงานต่างด้าว จึงได้ขับขี่ติดตามรถยนต์คันดังกล่าว และให้รถคันดังกล่าวหยุดและได้ทำการรตรวจค้นปรากฏว่าพบ นายเฉลิมพล แสดงตนเป็นผู้ขับขี่ จากนั้นตรวจค้นภายในรถยนต์คันดังกล่าว ปรากฎว่าพบผู้ต้องหาต่างด้าว 12 คน นั่งอยู่ภายในรถบริเวณด้านหน้าและช่องว่างด้านหลังผู้ขับขี่ภายในรถยนต์คันดังกล่าว
สอบสวนต่างด้าว ไม่สามารถสื่อสารหรือพูดภาษาไทยได้ จึงได้ตรวจสอบเอกสารโดยละเอียด จากการตรวจสอบปรากฏว่าทั้งหมดไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางแต่อย่างใดมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ จากการสอบถามนายเฉลิมพล ให้การรับสารภาพว่า ได้เดินทางติดตามผู้ขับรถนำ ออกจาก อ.วังเจ้า จ.ตาก - อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร - อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี มารับบุคคลต่างด้าวที่ภายในป่าอ้อยใน อ.บ้านไร่ อุทัยธานี ซึ่งมีชายไทย ไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง ติดต่อทางโทรศัพท์ ให้ไปรับต่างด้าว ในบริเวณดังกล่าว เมื่อได้รับมาแล้วนายเฉลิมพลให้การว่าได้เดินทางออกจาก อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี (ที่รับตัวบุคคลต่างด้าว) เข้ามาถึงจังหวัดสุพรรณบุรี (จังหวัดที่ถูกจับกุม) ซึ่งจากข้อมูลที่นายเฉลิมพลฯ ให้การตรงกันกับข้อมูลการสืบสวนและให้การรับว่าปลายทางการขนย้ายบุคคลต่างด้าวในครั้งนี้มุ่งหน้าไปส่งบุคคลต่างด้าวปลายทางที่ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งจะมีการติดต่อการขนย้ายบุคคลต่างด้าว โดยมีชายไทย ไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง ติดต่อทางโทรศัพท์ แจ้งให้ไปรับบุคคลต่างด้าวในภายในป่าอ้อยใน อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี สถานที่ต้นทาง ซึ่งจะมีบุคคล ไม่ทราบชื่อ-สกุล พาบุคคลต่างด้าว มาขึ้นรถที่ตนนำไปรับ เมื่อใกล้ถึงปลายทาง จะมีชาย ไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง จะโทรติดต่อกันอีกครั้ง โดยการลักลอบขนย้ายบุคคลต่างด้าวในครั้งนี้ มีรถที่ร่วมขบวนการขนย้ายบุคคลต่างด้าวจำนวน 2 คัน เป็นรถนำเพื่อดูเส้นทางหลบหนีและจุดสกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำนวน 1 คัน และเป็นรถที่ใช้ขนย้ายแรงงานต่างด้าว จำนวน 1 คัน จนกระทั่งถูกจับกุม ส่วนรถยนต์คันที่ดูเส้นทางหลบหนีจุดสกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยการลักลอบขนย้ายบุคคลต่างด้าวในครั้งนี้ มีการติดต่อสื่อสารกันผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีชายไทย ไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง เป็นผู้ขับขี่ฯ การเดินทางจะใช้เป็นการขับขี่ตามกันมาโดยการทิ้งระยะห่างเป็นช่วงๆ ห่างประมาณ 1-2 กม. นายเฉลิมพลฯ รับว่าได้ลักลอบขนย้ายบุคคลต่างด้าวครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ได้ค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวน 5,000 บาท (หากเสร็จสิ้นการขนย้ายบุคคลต่างด้าว) โดยผู้จ้างวานให้ขนย้ายบุคคลต่างด้าวในครั้งนี้ นายเฉลิมพลฯให้การว่า ไม่ทราบว่าเป็นชายหรือหญิง จำนวนกี่คน และไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง
จากการสอบถาม บุคคลต่างด้าว/ผู้ต้องหาที่ 10 โดยมี นายลาวินทาย อาสาสมัครล่าม แปลภาษาเมียนมาฯ ในการสอบถาม ให้การยอมรับว่า ผู้ต้องหาที่ 2 – 13 ได้เดินทางมาจาก เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา เข้ามาทางช่องทางธรรมชาติ จ.ตาก จากนั้นเดินเท้าต่ออีกประมาณ 30 นาที และจะมีรถยนต์กระบะมารับที่บริเวณป่ารกชัฏ เพื่อเดินทางต่อไป โดยจะมีการเปลี่ยนรถยนต์รับส่งเป็นช่วงๆ โดยปลายทางมุ่งหน้า จ.สุพรรณบุรี ซึ่งบุคคลต่างด้าวทั้งหมด มีการติดต่อกับนายหน้าฝั่งประเทศไทยและประเทศเมียนมาหลายคน โดยผู้ต้องหาที่ 2 - 13 จะต้องจ่ายเงินเป็นค่าการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย จำนวนประมาณ 15,000 โดยได้จ่ายเงินให้นายหน้าชาวเมียนมาเป็น ผู้รวบรวมเงินจากฝั่งประเทศเมียนมาก่อนออกเดินทางหลบหนีเข้าประเทศไทย เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงแจ้งข้อหา และได้ควบคุมตัวทั้งหมดมาทำบันทึกจับกุม และได้นำตัวผู้ต้องหา พร้อมด้วยของกลาง ส่ง พงส.สภ.ด่านช้าง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
1 กุมภาพันธ์ 2568
1 กุมภาพันธ์ 2568