วันที่ 18 ธันวาคม 2567 เวลา 13:37 น.
18 ธันวาคม 2567 กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัย เผย โรค NCDs เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตและคนไทยมากกว่า 14 ล้านคนกำลังเผชิญกับโรค NCDs มากกว่า 4.8 ล้านคนเป็นโรคเบาหวาน พร้อมจัดกิจกรรมเปิดบ้านกรมอนามัย เปิดใจ โลว์คาร์บ ไม่โลว์แคล สื่อมวลชน ห่างไกล NCDs (Open House Meet the Press @DOH
นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดกิจกรรมเปิดบ้านกรมอนามัย เปิดใจ โลว์คาร์บ ไม่โลว์แคล สื่อมวลชน ห่างไกล NCDs (Open House Meet the Press @DOH) ณ FITNESS CENTERS อาคาร 6 ชั้น 2 และห้องประชุมกำธร สุวรรณกิจ อาคาร 1 ชั้น 1 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ว่า กระทรวงสาธารณสุขขับเคลื่อนนโยบายคนไทยห่างไกล NCDs เพราะปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนไทย โรค NCDs เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของประชากรถึง 41 ล้านคนทั่วโลก หรือคิดเป็นร้อยละ 71 ของการเสียชีวิตของประชากรโลกทั้งหมด โดยเฉพาะโรคเบาหวาน และ โรคความดันโลหิตสูงที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับในประเทศไทย โรค NCDs เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตและคนไทยมากกว่า 14 ล้านคนกำลังเผชิญกับโรค NCDs มากกว่า 4.8 ล้านคนเป็นโรคเบาหวาน สาเหตุหลักของการเกิดโรค NCDs คือ การบริโภคอาหาร โดยเฉพาะของหวาน มัน เค็ม จากข้อมูลพบว่า คนไทยกินน้ำตาลมากถึงวันละ 25 ช้อนชา ซึ่งมากกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา รวมถึงได้รับโซเดียมจากอาหารที่บริโภคเฉลี่ย 3,636 มก./วัน ซึ่งมากกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่แนะนำให้ประชาชนบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มก./วัน เช่นเดียวกัน และอีกสาเหตุการเกิดโรค คือ การออกกำลังกาย หรือ การมีพฤติกรรมเนือยนิ่ง ที่พบว่า คนไทยมีกิจกรรมทางกายลดลงอย่างมากโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 จากร้อยละ 74.6 เหลือเพียงร้อยละ 55.5 ในปี 2563 และลดลงเป็นร้อยละ 19.1 กรมอนามัยจึงกระตุ้นให้คนไทยมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอโดยในปี 2566 คนไทยมีกิจกรรมทางกายสูงขึ้นอยู่ที่ ร้อยละ 68.1
“กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายที่มุ่งแก้ไขปัญหาโรค NCDs โดยสื่อสารให้ อสม.เรียนรู้ เรื่อง การนับคาร์บ หรือคาร์โบไฮเดรต ไม่ให้เกินร้อยละ 20 ของพลังงานที่ร่างกายต้องการ รวมทั้งผลักดันการส่งเสริมสุขภาพและแนวคิดวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดี ปรับปรุงกฎหมาย มาตรการ สิทธิประโยชน์ให้เอื้อในการต่อสู้กับโรค NCDs จัดตั้งศูนย์คนไทยห่างไกล NCDs เพื่อลดอัตราการป่วยก่อนเข้าสู่ระบบการรักษา และสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในการปรับพฤติกรรมสุขภาพ ทั้งการกินอาหารให้เหมาะสมกับการใช้พลังงาน
การออกกำลังกาย ช่วยลดจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ ลดความรุนแรงของการเจ็บป่วยในผู้ป่วยรายเก่าและลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชนและรัฐบาลได้” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว
ทางด้าน แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยมีภารกิจหลัก ในการส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพดี โดยเน้นการส่งเสริมสุขภาพ การจัดการปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ และ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาวะที่ดี รวมถึงการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้และทักษะในการดูแลตนเอง ครอบครัว และชุมชน รวมทั้งการขับคลื่อนคนไทยห่างไกลโรคและ ภัยสุขภาพ ส่งเสริมสุขภาพทุกมิติ เพื่อลดโรค NCDs ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข
การจัดกิจกรรมเปิดบ้านกรมอนามัย เปิดใจ โลว์คาร์บ ไม่โลว์แคล สื่อมวลชน ห่างไกล NCDs (Open House Meet the Press @DOH เป็นการเปิดบ้านให้สื่อมวลชน ซึ่งเป็นกระบอกเสียงสำคัญ ที่จะนำข้อมูลข่าวสารการดูแล สุขภาพตนเอง เพื่อป้องกันโรค NCDs ผ่านการร่วมกิจกรรมวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกาย และเทคนิคเพิ่มกิจกรรมทางกายการสร้างกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เพิ่มการเผาผลาญ รักษาความยืดหยุ่นของหลอดเลือด การมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะช่วยนำออกซิเจน และสารอาหารจากเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้หัวใจไม่บีบตัวมาก เพิ่มความไวต่ออินซูลินช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด การออกกำลังกาย 4 ครั้ง ต่อสัปดาห์ วันละ 30 นาที ทำให้รู้สึกหัวใจเต้นเร็วขึ้น เหงื่อออก เหนื่อยระดับปานกลาง จะช่วยให้น้ำตาลในเลือดลดลงเป็นปกติ และสามารถลดการใช้ยาเบาหวานได้
“ที่สำคัญ กรมอนามัยสนับสนุนนโยบายการนับคาร์บ ร้อยละ 20 ที่เหมาะสำหรับผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ผู้เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ต้องฉีดอินซูลิน เพื่อคำนวณปริมาณคาร์บในแต่ละมื้อให้เหมาะกับยาฉีดอินซูลิน หรือผู้ที่มีความเสี่ยงเบาหวาน ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ผู้ดูแลสุขภาพที่ต้องการรักษาน้ำหนักตัว การจำกัดปริมาณคาร์บ ช่วยลดน้ำหนักได้หากลดน้ำหนักได้จะลดความเสี่ยงให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ การทราบปริมาณคาร์บที่ควรได้รับในแต่ละมื้อ จะช่วยรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และป้องกัน
ความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน และแนะนำการเจาะน้ำตาลก่อน และหลังอาหาร เพื่อคัดกรองภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน สำหรับโรคความดันโลหิตสูง โรคไต หากทราบปริมาณโซเดียมในอาหาร เราจะสามารถควบคุมโซเดียมต่อวันไม่ให้เกิน 2,000 มก./วัน กรมอนามัย ยังแนะนำวิธีการลดความดันโดยไม่ใช้ยา ดังนี้
1) ควบคุมความดัน โดยลด เลี่ยง การทานอาหารโซเดียมสูง เช่น ส้มตำ ก๋วยเตี๋ยวน้ำ ขนมจีนน้ำยา เกาเหลา น้ำแกง สุกี้น้ำ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำพริกกะปิ น้ำพริกปลาร้า อาหารแปรรูป กุนเชียง หมูยอ ไส้กรอก
2) กินผักสด สีเขียว วันละ 4-6 ทัพพี และผลไม้สดวันละ 4-6 ทัพพี หลากหลายสีสัน
3) การออกกำลังกาย 3-5 ครั้ง/สัปดาห์ วันละ 30-45 นาที โดยมี เป้าหมาย 150นาที ต่อสัปดาห์ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของ
หลอดเลือดช่วยลดความดันโลหิตได้ 4-9 หน่วย (มิลลิเมตรปรอท) และการลดน้ำหนักตัว ทุกๆ 10 กิโลกรัม ทำให้ความดันลดลงได้ 5-20 หน่วย (มิลลิเมตรปรอท)
4) DASH diet พืชสด : ด้วยเน้นวัตถุดิบสดตามธรรมชาติ เลี่ยงอาหารแปรรูป ลดเกลือ : ควบคุมปริมาณโซเดียม ไม่เกิน 2,300 มก./วัน เนื้อน้อย : เลือกปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ในปริมาณที่เหมาะสม ด้อยไขมัน : จำกัดการบริโภคน้ำมัน และเลือกกลุ่มไขมันดี น้ำตาลต่ำ : ลดหวาน น้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา/วัน ช่วยลดความดันได้ 8-14 หน่วย (มิลลิเมตรปรอท)
5) วัดความดันซ้ำ ทุก 1 เดือน โดยนั่งพัก 10-15 นาที ก่อนวัดความดันซ้ำ ในอิริยาบทที่ผ่อนคลายที่บ้านหรือสถานีสุขภาพ ใกล้บ้าน และ
6) การนอนหลับอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง (ไม่ตื่นบ่อยกลางดึก) วันละ 7-8 ชั่วโมง การสวดมนต์ ผ่อนคลาย นั่งสมาธิ การจัดการความเครียด ก็สามารถลดความดันโลหิตได้เช่นกัน และยังมีเทคนิคการให้อายุยืนยาว ด้วย Life Style Medicine ที่ประชาชนทุกกลุ่มวัยสามารถปฏิบัติตามได้ เพื่อสุขภาพที่ดี” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว