วันที่ 9 มกราคม 2568 เวลา 12:00 น.
วันนี้ (9 ม.ค.68) ศาลอาญานัดสอบคำให้การ คดีหมายเลขดำที่ อทย14/2568 คดีระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทย์ยื่นฟ้อง บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด โดยนายวรัตน์พล หรือบอสพอล วรัทย์วรกุล กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน กับพวกรวม 17 คน ใน 5 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรง ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงฯ และข้อหาร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงดำเนินกิจการในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลอื่นเข้าร่วมเครือข่ายในการประกอบธุรกิจโดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทน จากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นโดยฝ่าฝืนกฎหมาย
ก่อนที่ในเวลา 09.00 น. นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ "บอสพอล" ได้เดินทางมาที่ศาลอาญารัชดาภิเษกเพื่อเข้าฟังคำสั่งฟ้อง ทนายวิฑูรย์ ระบุว่า วันนี้ศาลให้เบิกตัวจำเลยทั้ง 16 คน มาฟังคำสั่งฟ้องหลังจากที่อัยการมีคำสั่งฟ้อง ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 16 คนจะให้การปฏิเสธเพียงสั้นๆไปก่อน ซึ่งเหตุผลในการปฏิเสธ คือผู้ต้องหาทั้ง 16 คน จะให้การโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่งในวันที่มีการนัดสอบคำให้การ โดยในการนัดครั้งถัดไปจะต้องมีการวางแผนและต้องใช้ความละเอียด คาดว่าน่าจะเป็นช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2568 โดยทีมทนายความจะมีการปรึกษากัน และจะต้องดูว่าพยานที่เหลืออยู่นั้นเหลืออยู่เท่าไหร่ ส่วนพยานที่ดีเอสไอยังไม่มีการสอบปากคำนั้นก็จะนำมาใช้ในชั้นศาลด้วย ไม่ว่าจะเป็นพยานตัวแทนหรือคุณหมอ และเภสัชชกร ที่มีการขอให้สอบเพิ่ม ในส่วนของตัวแทนอาจจะต้องมีการตัดออกไปบ้าง เพราะถ้ามีเยอะหากไม่ได้ประกันตัวการที่มีพยานเยอะก็เป็นผลเสียกับฝั่งจำเลย ซึ่งต่อให้คัดแล้วก็ยังเหลือหลักร้อยอยู่ดี
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าระยะเวลาในการดำเนินการจนกว่าจะไปถึงศาลชั้นต้นจะต้องใช้ระยะเวลานานแค่ไหน ทนายวิฑูรย์ ระบุในกรณีจำเลยได้รับการประกันตัว น่าจะใช้เวลานาน และจะมีการสืบพยานอีกครั้งหนึ่งในปีหน้า แต่ถ้าหากเป็นจำเลยขังก็ไม่รู้ว่าพิจารณาเมื่อไหร่ แต่ส่วนตัวก็มีความกังวลในเรื่องของเอกสารที่ดีเอสไอส่งมาที่อัยการ 300,000 แผ่น และเอกสารของบริษัททั้งแบบดีลเลอร์เก็ทดีลเลอร์ 2 แสนแผ่น และเอกสารของการทำธุรกรรมของผู้เสียหายแต่ละคนอีกจำนวนมากนั้นเอกสารของบริษัทคนแต่คนที่รู้เอกสารทั้งหมดดีที่สุด คือพนักงานสอบสวน และตัวจำเลยเองจึงมองว่าการที่จะเบิกตัว หรือประกันตัวออกมาสู้คดีนั้นมีความจำเป็นมาก เพราะคดีอาญาในลักษณะเช่นนี้ไม่ใช่คดีค้ายาบ้า หรือฆ่าคนตายแต่เป็นคดีอาญาที่เกี่ยวกับธุรกิจ เพราะฉะนั้นการที่ประกันตัวจำเลยออกมาสู้คดีก็เป็นเหมือนกันการให้เขาออกมาสู้ คดีและนำข้อมูลนำเรียนถึงศาลด้วนตนเอง จึงจะต้องมีการวางแผนเรื่องการประกันตัวว่าจะประกันช่วงไหน แต่ส่วนใหญ่ทนายความก็มองว่าจะยื่นช่วงไหนก็ได้ พร้อมบอกว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการขอรายชื่อคนที่มาแจ้งความ เพื่อขัดแยกว่าอยู่สายบอสคนไหน เพื่อดูว่าคนที่แจ้งความแต่ละคนไปถึงตัวบอสคนไหนเท่าไหร่บ้าง
ส่วนเมื่อวานนี้ที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนายแซม ยุรนันท์ และ นางสาวมิน พิชญา ตนรู้สึกดีใจที่สองคนนี้อัยการสั่งไม่ฟ้อง พร้อมบอกว่าบริษัทของเราไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายขายสินค้าที่ถูกกฎหมาย และไม่ได้ขายสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ตนมองว่าการที่อัยการสั่งไม่ฟ้องทั้งสองคนนี้เป็นความกล้าหาญของอัยการที่กล้าจะยึดถือความยุติธรรมเป็นหลัก แต่ไม่ได้ว่าท่านว่าไม่ได้ยุติธรรมกับจำเลยทั้ง 16 คนที่สั่งฟ้องคงจะต้องสู้ต่อไปตนเข้าใจได้ และถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการสู้คดี โดยไม่ต้องปรับแผนการต่อสู้ แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าแนวทางเป็นอย่างไร
และตนมองว่าหน่วยที่เกี่ยวข้อง ที่จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดรวมถึงมิน และนายแซม มีการคัดค้านการประกันตัวมาโดยตลอด สุดท้ายอัยการสั่งไม่ฟ้อง จึงอยากถามกลับว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะรับผิดชอบชีวิต 2 คนนี้อย่างไรที่จะต้องอยู่ภายในเรือนจำกว่า 2 เดือน พร้อมตั้งคำถามว่าที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้นทำงานตามกระแสสังคมหรือไม่
และหากพนักงานสอบสวนดีเอสไอเห็นแย้งกับอัยการในการสั่งไม่ฟ้อง บอสแซม และบอสมิน ซึ่งการที่อัยการไม่สั่งฟ้อง เพราะไม่มีหลักฐานในการเอาผิด ต่อให้ดีเอสไอออกมาแย้งตนก็ไม่กังวลอะไรแทนทั้งสองคน และทั้งสองคนมีทนายความส่วนตัวอยู่แล้ว เบื้องต้นยังไม่ได้คุยถึงแนวทางต่อไป
พร้อมบอกว่าถ้าจับขังแล้วให้สิทธิ์การประกันตัวตนก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ที่ผ่านมามีการค้านประกันตัวมาโดยตลอด ทำให้ไม่สามารถชี้แจงอะไรได้เลย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ คือจับบอสทั้งหมดรวมถึงมีการอายัดทรัพย์สิน และนำไปยัดคุกและคัดค้านการประกันตัว จึงมองว่าเรื่องนี้มีความเป็นธรรมกับตัวจำเลยหรือไม่ พร้อมบอกว่าไม่ว่าจะเป็นตำรวจพนักงานสอบสวนดีเอสไอต่างก็มีอำนาจจากภาครัฐแต่ตนเป็นทนายความเป็นภาคเอกชนไม่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ เรามีเพียงอย่างเดียว คือต้องหาสิทธิในการประกันตัวซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานให้กับลูกความ