วันที่ 29 มกราคม 2568 เวลา 20:02 น.
เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น.ของวันที่ 29 มกราคม 2568 ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้โกดังพสาสติก พื้นที่หมู่ที่ 6 ต.ยกกระบัตร อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ซึ่งมีลักษณะเป็นอาคารโกดังชั้นเดียว มีอยู่ทั้งหมด 8 โกดังบนเนื้อที่ราว ๆ 15 ไร่ มีการกั้นเป็นล๊อคๆ แต่เชื่อมติดกันและเปิดช่องให้สามารถเดินถึงกันได้ ส่วนด้านหลังเป็นพื้นที่ลานกว้าง มีไว้เพื่อเก็บกองขยะพลาสติกจำนวนมหาศาล ทั้งนี้เพลิงได้โหมลุกไหม้อย่างรุนแรงจนทำให้โครงสร้างโกดังทรุดตัวลงมา 2 โกดัง ขณะที่การเข้าระงับเหตุในครั้งนี้ก็มีนายนริศ นิรามัยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมด้วย นายอนุตร ปางพุฒิพงษ์ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด,นายพิรุณโรจน์ นาคดนตรี นายอำเภอบ้านแพ้ว,นายพุทธิกรณ์ วิชัยดิศ อุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมบัญชาการเหตุการณ์ แต่การจะดับไฟให้สงบลงนั้นก็เป็นไปได้ค่อนข้างยากมาก เพราะด้วยวัสดุที่เป็นเศษขยะพลาสติกและอื่นๆ จำนวนมหาศาลประกอบกับปริมาณน้ำที่ไม่เพียงพอนั้น ล้วนแต่เป็นวัตถุติดไฟ และยังมีสารเคมีบางชนิดถูกเก็บกองอยู่ข้างใน ก็ยิ่งทำให้เชื้อเพลิงลุกไหม้ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ส่วนเครื่องจักรที่ตั้งอยู่ภายในโกดังที่ 1 – 3 ไม่ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ต้องใช้รถน้ำดับเพลิงจาก เทศบาลตำบลหลักห้า ร่วมกับ อปท.ต่างๆ ทั้งในจังหวัดสมุทรสาคร และพื้นที่ใกล้เคียงรวมกว่า 20 คัน รวมถึงรถสนับสนุนจากมูลนิธิและอาสากู้ภัยอีกหลายสินคัน เข้ามาช่วยกันฉีดน้ำสกัดเพลิงไม่ให้ลุกลามออกไปด้านนอกเขตรั้วโรงงาน ซึ่งก็ต้องใช้เวลานานกว่า 4 ชั่วโมง จึงจะสามารถดับเปลวไฟลงได้ โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บและไม่ลุกลามไปยังชุมชนด้านนอก แต่ผลกระทบจากกลุ่มควันไฟก็ทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ห่างโรงงานออกไปในระยะประมาณ 2 – 3 กิโลเมตรได้รับผลกระทบจากกลิ่นเหม็นของกลุ่มควัน และมีอาการแสบตาม แสบจมูก เป็นต้น
จากการสอบถามคนในพื้นที่ทราบว่า โรงงานแห่งนี้ผู้ครอบครองเป็นคนไทยโดยขออนุญาตสร้างอาคารเพื่อใช้เป็นที่เก็บกองเท่านั้น แต่มีนายทุนจีนมาเช่าพื้นที่ต่อจากคนไทยแล้วนำขยะพลาสติก เศษพลาสติก และเศษวัสดุอื่นๆ มาเก็บไว้ที่นี่ อีกทั้งยังได้มีการนำเครื่องจักรเข้ามาทำกระบวนการรีไซเคิล บดอัด ส่งขาย เบื้องต้นยังเป็นที่น่าเชื่อได้ว่า ขยะพลาสติกที่พบทั้งหมดนี้ ทั้งที่ถูกไฟไหม้และไม่ได้ถูกไฟไหม้ ถูกนำเข้ามาจากประเทศจีน นอกจากนี้คนงานที่เป็นแรงงานเมียนมาเล่าว่า ทางเถ้าแก่ให้หยุด 2 วัน พวกคนงานก็ไปนอนพักอยู่ในบ้านพักกันหมด คงมีแต่ช่างที่เถ้าแก่เรียกให้มาซ่อมกล้องภายในโรงงานเท่านั้น แต่พอเกิดเพลิงไหม้ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว
ทางด้านนายนริศ นิรามัยวงศ์ ผวจ.สมุทรสาคร กล่าวว่า สถานที่ที่เกิดเหตุเบื้องต้นตรวจสอบดูเป็นที่วางกองพลาสติกเก่า ซึ่งมีเนื้อที่อยู่มากพอสมควร เพลิงได้ลุกไหม้เศษพลาสติกเก่า ที่นำมาวางกองอยู่ ซึ่งทำให้ยากต่อการดับเพลิงเพราะเวลาไหม้เศษพลาสติกจะทำให้ลุกลามไหม้อย่างรวดเร็วและก็ดับยาก เบื้องต้นทางจังหวัดและอำเภอพร้อมเทศบาลตำบลหลักห้า ได้ประสานรถน้ำรถดับเพลิงต่างๆ เข้ามาอำนวยการดับเพลิงอยู่ในขณะนี้ เป็นจำนวนมาก และเบื้องต้นในขณะนี้เพลิงไม่ลุกลามออกนอกพื้นที่ เนื่องจากมีคันคูน้ำอยู่โดยรอบของสถานที่แห่งนี้คงไม่ลุกลามไปภายนอก ภารกิจก็คือในการควบคุมเพลิงและจะพยายามดับเพลิงให้โดยเร็วที่สุดเพราะว่าเราไม่อยากให้เกิดควันต่างๆ ที่เกิดการเผาไหม้ในช่วงนี้ ส่วนข้อกังวลนั้นในขณะนี้ในเรื่องของน้ำดิบที่จะนำมาใช้ในการดับเพลิงในขณะนี้ รถน้ำทราบว่ามากันหลายคันแล้วก็น้ำค่อนข้างอาจจะมีปริมาณไม่เพียงพอเรากำลังประสานรถน้ำจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆเข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติม ส่วนผลกระทบกับชุมชนในละแวกใกล้เคียงเรื่องของควันในการเผาไหม้พลาสติก อาจจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องของภาวะแวดล้อมในขณะนี้ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบและมีมาตรการในการที่จะควบคุมและดับเพลิงบริเวณนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดควัน ภายหลังจากควบคุมเพลิงแล้วจะมีการสั่งการตรวจสอบโรงงานดังกล่าวทันทีและดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
นายพุทธิกรณ์ วิชัยดิศ อุตสาหกรรมจังหวัด กล่าวว่า ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าสถานที่แห่งนี้ ขอเป็นโกดังสินค้า แต่ก็มีการเอาเครื่องจักรเข้ามาประกอบการ ซึ่งเครื่องจักรที่ใช้เข้าข่ายเป็นโรงงาน ซึ่งยังไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีใบอนุญาตประกอบการ ซึ่งพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่สีเขียว ขออนุญาตก็ขอไม่ได้ ซึ่งจะมีความผิดตามกฎหมาย เบื้องต้นตรวจสอบเครื่องจักรแล้วก็เข้าข่ายประกอบการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยาง ลำดับที่ 52,53 ตามพ.ร.บ.โรงงาน เครื่องจักรที่ตรวจสอบพบเบื้องต้นรวมแล้ว 75 แรงม้า ก็เข้าข่ายมีการละเมิดพระราชบัญญัติโรงงาน โดยไม่ได้รับอนุญาต เครื่องจักรที่พบนั้นอยู่ด้านนอกซึ่งไม่ได้เกิดเพลิงไหม้เบื้องต้นเท่านี้ ส่วนเจ้าของโรงงานยังตามตัวไม่ได้ต้องให้ทางฝ่ายปกครองช่วยตามตัวให้ แต่เบื้องต้นช่วงปลายปีที่แล้วเราเคยมีหนังสือสอบถามไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งจังหวัดว่าขอให้ช่วยเช็คให้หน่อยว่าในพื้นที่มีโรงงานเถื่อนไหม เพื่อเราจะได้เข้าไปดำเนินการตามกฏหมาย ซึ่งสอบถามไป 39 แห่ง แต่สำหรับทางท้องถิ่นแห่งนี้ไม่ได้แจ้งเราว่ามีโรงงานเถื่อนหรือปล่าว ซึ่งตนอยู่มา 1 ปียังไม่พบว่าโรงงานแห่งนี้มีการกระทำความผิด แต่ ณ ตอนนี้มีความผิด เพราะว่าการกระทำของเขาถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายเลย ซึ่งจะต้องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป