หน้าแรก > เศรษฐกิจ

กกร. หวั่นกำแพงภาษีสหรัฐฯ ทำสินค้าจีนทะลักเข้าไทย แนะรัฐบาลเตรียมรับมือ

วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 18:26 น.


5 กุมภาพันธ์ 2568 นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวว่า สงครามการค้ารอบใหม่ที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับ เม็กซิโก แคนาดา และจีน ท่ามกลางการโต้กลับแบบทันควันของทั้ง 3 ประเทศ จะส่งผลลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2568 และจะยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้นในปี 2569

เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวจำกัด การกีดกันทางการค้าที่รุนแรงและทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องเป็นความท้าทายต่อการส่งออก ส่วนภาคอุตสาหกรรมบางสาขาเผชิญการแข่งขันจากสินค้าต่างชาติ ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังอ่อนแอ จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการวางแนวทางเพื่อลดผลกระทบทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว โดยใช้ประโยชน์จากกระแสการแยกขั้วของ Supply Chain ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งในปีที่ผ่านมาการขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 1.14 ล้านล้านบาทสูงสุดในรอบ 10 ปี นอกจากนี้ ยังต้องเร่งทำข้อตกลงทางการค้าเพิ่มเติมจาก FTA ไทย-EFTA ที่เพิ่งสำเร็จ เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

ขณะเดียวกันความขัดแย้งทางการค้ากดดันสินค้าจากต่างชาติ เข้ามาแย่งตลาดและกระทบต่อภาคการผลิตของไทย สินค้าต่างประเทศที่ล้นตลาดจากปัญหาสงครามการค้าและการแยกขั้ว (De-coupling) ทะลักเข้ามาในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตและการจ้างงาน รวมถึงเกิดการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง จากการศึกษาผลกระทบดังกล่าวตามข้อเสนอในสมุดปกขาวของ กกร. โดยกระทรวงพาณิชนย์ พบว่า กลุ่มสินค้าสำคัญที่ได้รับผลกระทบมาก เช่น เหล็ก พลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องนุ่งห่ม แก้วและกระจก เครื่องสำอาง เป็นต้น

สำหรับแนวทางรับมือ นอกจากการหารือระหว่างภาครัฐในระดับประเทศแล้ว การใช้มาตรการทางการค้าเพิ่มเติม นอกเหนือจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด คือ การปรับลดระยะเวลาการไต่สวนการใช้มาตรการทางการค้า และการใช้มาตรการควบคุมการนำเข้าตาม พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ.2522 การกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมในเขตฟรีโซนอย่างเข้มงวด ป้องกันการลักลอบนำสินค้าและวัตถุดิบกลับมาขายในประเทศ และ การส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand (MIT) เพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การส่งเสริมขยายตลาดภาคเอกชน รวมทั้งการกำหนดเงื่อนไข การใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศในโครงการรัฐ เช่น การกำหนดการใช้สินค้าไทยในโครงการบ้านเพื่อคนไทย ไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าโครงการ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กกร.คงกรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 จะเติบโตได้ในกรอบ 2.4 – 2.9 % เช่นเดียวกับการคาดการณ์ส่งออกจะโตได้ที่ 1.5- 2.5% ส่วนเงินเฟ้อคาดการณ์ว่าจะอยู่ในกรอบ 0.8-1.2%  

ข่าวยอดนิยม


ข่าวยอดนิยม