วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 16:30 น.
วันที่ 11 ก.พ.68 จากกรณีที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมกับคณะ ครม.มีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการแก้กฎหมายเรื่องการห้ามขายเครืองดื่มแอลกอฮอล์ต่าง ๆ ในช่วงเวลา 14.00 น. ถึง 17.00 น. รวมทั้งเรื่องการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันพระ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวนั้น เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ผู้สื่อข่าวได้เข้าสอบถามเกี่ยวกับความคิดเห็นในเรืองนี้กับทางพระราชธรรมนิเทศน์ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี
โดยพระพยอมแสดงความคิดเห็นว่า เรื่องการงดขายสุราในวันพระมีความพยายามกันมานานแล้ว โดยคนต้นคิดคนแรกของประเทศไทยเป็นคนยศ พ.ต.อ.ที่โคราช เรียกร้องให้มีการทำเรื่องนี้ขึ้นโดยทดลองที่อำเภอเดียวก่อน แล้วก็มีการทดลองทำกันมาโดยไม่ขายเหล้าในวันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา คนก็ร่วมมือและเกิดการสรรเสริญ เพียงแต่ว่าในตอนนั้นกับตอนนี้มันแตกต่างกัน ไม่ขายเหล้าก็ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจเสียหายอะไร ก็เห็นใจรัฐบาลอยู่เหมือนกันว่าจะหาวิธีการอย่างไรมาทำให้เศรษฐกิจของประเทศมันฟื้น พอมาดูถ้ามันจะฟื้นได้ก็มีเรื่องการท่องเที่ยวมาเป็นอันดับหนึ่ง มีคนเที่ยว คนกิน คนใช้ เศรษฐกิจมันถึงจะขับเคลื่อนได้ ซึ่งพอเป็นแบบนี้มันก็ต้องมาชั่งน้ำหนักกันว่า ระหว่างเศรษฐกิจกับธุรกิจมอมเมา ผลมันจะออกมาอย่างไร ถ้าได้เศรษฐกิจดีฟื้นตัว แต่ต้องแก้ต้องยกเลิกบางอย่าง มาเทียบกับการรักษาไว้เหมือนต้องเลือกเอาระหว่างเศรษฐกิจกับศีลธรรมก็ต้องเลือกเอาสักอย่างเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
พระพยอม กล่าวอีกว่า เรื่องนี้มันก็อยู่ที่ตัวบุคคลด้วย เหมือนเกลือรักษาความเค็ม เราเคยดี เคยปฎิบัติอย่างไง เราก็ดีของเราอย่างนั้น ชาติอื่นจะมากินจะดื่มเที่ยวอย่างไรเป็นเรื่องของเขา เราอย่าไปทำตามแบบเขา แม้ว่าเราจะมีฐานะดีทำตามแบบเขาได้ก็ตาม แต่เราต้องเป็นคนดีที่มีฐานะดีด้วยอันนั้นสำคัญที่สุด หรือถ้าฐานะไม่ดีแต่ปฎิบัติตัวเป็นคนดีก็จะดีกับประเทศชาติและพระศาสนา กลายเป็นคนดีที่ประพฤติตามหลักพระศาสนาต่อไป ปัญหาเรื่องน้ำเมาหรือที่เรียกว่าน้ำผลาญสตินั้น คนเราถ้าสติไม่ดีก็จะเกิดเรื่องเสียได้โดยง่าย แต่ถ้าเราสติดีมันเป็นเครื่องช่วยยับยั้ง หักห้าม เหนี่ยวรั้งเอาไว้ให้ เรื่องนี้ขอให้ดูเหตุดูผลกันให้ดีก่อน แต่ถ้าคิดว่าเศรษฐกิจมันไม่ดีจนต้องใช้วิธีนี้มาแก้ไขก็แล้วแต่รัฐบาล
พระพยอม กล่าวอีกว่า อาตมาขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ไปชั่งน้ำหนักเรื่องนี้ดูให้ดี ข้อดีข้อเสียผลดีผลร้าย อันไหนจะกระทบมากกว่ากัน ถ้ามันเกิดผลเสียมากกว่าก็ขอให้ยับยั้งไว้ก่อน แต่ถ้าไตร่ตรองดูแล้วว่าช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี ศีลธรรมก็ดี ก็ทำกันไป เรื่องก็คงกระทบไปถึงตัวคน บางคนเคยทำได้ ลดได้ ละได้ พอรัฐบาลมาเปิดโอกาสให้แบบนี้ก็ก็อาจจะงด อาจจะเว้นต่อไปไม่ได้ เพราะนิสัยมนุษย์ชอบปล่อยตัวปล่อยใจไหลไปตามน้ำ ไม่ได้ลอยทวนน้ำ พอรัฐบาลมาแก้กฎหมายให้ตามใจก็ไปกันใหญ่