ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.)  ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านวิสัยเหนือ จ.ชุมพร ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาชาย 1 ราย อายุ 37 ปี  ในความผิดฐาน “นำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย,ให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆแก่บุคคลต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม, เป็นผู้ขับขี่รถเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต” และควบคุมตัวต่างด้าว สัญญาติเมียนมาร์ทั้ง 7 คน ฐานความผิด “เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” โดยจับกุมได้บริเวณ ถนนเอเชีย 41 บริเวณแยกปฐมพร จ.ชุมพร

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 ก.พ.68 มีผู้เสียหายมาแจ้งความ ที่สภ.เมืองชุมพร ว่าถูกคนร้ายขโมยป้ายทะเบียนรถยนต์ ของผู้เสียหายไปจาก ลานจอดรถ อพาร์ทเม้นแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.เมืองชุมพร จ.ชุมพร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ตรวจสอบพบว่า คนร้ายได้นำป้ายของผู้เสียหายไปใช้กับ รถกระบะ ยี่ห้อโตโยต้า รีโว่ สีเทา อีกคันหนึ่ง และขับรถใช้เส้นทางไปมา ระหว่างประจวบฯ และ จ.สงขลา หลายเที่ยว กระทั่งมาตรวจพบว่ารถคันดังกล่าววิ่งผ่าน  อ.ละแม จ.ชุมพร มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการซุ่มรอ และจับกุมได้

ผลการตรวจค้น พบโทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 เครื่อง , พบแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ จ.สุราษฎร์ธานี จำนวน 2 ป้าย วางอยู่บนพื้นรถบริเวณที่นั่งฝั่งผู้โดยสาร จึงยึดไว้เป็นของกลาง และจากการตรวจสอบพบบุคคลสัญชาติเมียนมาร์เพศหญิงนั่งมาด้วย ซึ่งไม่พบหนังสือเดินทางหรือเอกสารประจำตัวบุคคลต่างด้าวแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ผู้ต้องหา ให้การว่าตนได้เข้าไปขโมยแผ่นป้ายทะเบียนจริง โดยนำมาติดกับรถยนต์ของตนเองเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ในการขนแรงงานต่างด้าว ซึ่งตนเองขนแรงงานต่างด้าวมาหลายครั้งแล้วโดยรับส่งระหว่างพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.สงขลา และในครั้งนี้ที่ถูกจับกุม รับแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาร์ ทั้ง 7 คน จาก อ.รัตภูมิ จ.สงขลา เพื่อไปส่ง ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยได้รับการติดต่อว่าจ้างงานจากนายหน้าซึ่งเป็นคนสัญชาติเมียนมาร์ ได้รับค่าจ้างเป็นรายคนคนละ 1,000 บาท ต่อเที่ยว นอกจากนั้นยังรับว่าตนได้เสพยาบ้ามา 2 เม็ด  จึงได้จับกุม นำตัวส่ง พงส.สภ.เมืองชุมพร จว.ชุมพร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และจะได้ขยายผลเกี่ยวกับเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป