หน้าแรก > สังคม

ศรชล.ภาค 1 แจงกรณีจับกุมเรือประมงรุกล้ำน่านน้ำไทย "ปฏิบัติตามกฎการใช้กำลัง" มีขั้นตอนการปฏิบัติ ก่อนเกิดเหตุเรือประมงพุ่งชน

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 20:52 น.


ต่อกรณีปรากฏคลิปในสื่อโซเชี่ยล เรือประมงต่างชาติซึ่งลักลอบเข้ามาทำการประมงในเขตการประมงของประเทศไทย แล่นชนเรือหลวงเทพาของกองทัพเรือได้รับความเสียหาย ขณะทำการไล่จับกุม เมื่อ 25 ก.พ.68 เวลาประมาณ 10.10 น. ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ( แบริ่ง 188 ระยะทาง 28 ไมล์จากทิศใต้เกาะกูด) นั้น มีคำอธิบายข้อเท็จจริงระบุว่า ภารกิจนี้ไม่ใช่การรบในสภาวะสงครามซึ่งสามารถใช้กำลังลิดรอนทำลายได้ทันทีตามกฎหมายสงคราม แต่เป็นภารกิจในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางทะเล ตามที่ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 ร้องขอ โดยมุ่งประสงค์ในการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นการใช้กำลังจึงต้องดำเนินการตามกระบวนการและขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ กล่าวคือใช้กำลังในการจับกุมตามความจำเป็น ได้สัดส่วน และเหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งกองทัพเรือมี “กฎการใช้กำลังเฉพาะการปฏิบัติการทางเรือ” กำหนดแนวทางการใช้อาวุธให้เป็นไปตามหลักกฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศอยู่แล้ว

ในขณะที่เรือหลวงเทพาไปถึงยังที่เกิดเหตุ พบกลุ่มเรือประมงต่างชาติจำนวน 10 ลำ กำลังทำการประมงอยู่ในเขตทางทะเลของไทย เมื่อกลุ่มเรือประมงต่างชาติเห็นเรือของกองทัพเรือจึงตัดอวนที่กำลังลากอยู่ในทะเลทิ้งแล้วเร่งความเร็วแล่นหนีออกนอกน่านน้ำไทย เรือหลวงเทพาจึงเร่งความเร็วแล่นเข้าเทียบเพื่อส่งชุดตรวจค้นเข้าจับกุม ปรากฎว่า เรือประมงต่างชาติซึ่งทำหน้าที่เรือหู (ทำหน้าที่ช่วยลากอวนในการทำประมงแบบอวนลากคู่) ได้กลับลำเรือแล้วพุ่งเข้าชนเรือหลวงเทพาเพื่อถ่วงเวลาให้เรือประมงต่างชาติลำอื่นที่มีกำลังคนในเรือมากและเก็บรักษาสัตว์น้ำที่จับได้มีโอกาสได้หลบหนี เนื่องจากเรือประมงต่างชาติลำดังกล่าวยังไม่มีการใช้อาวุธปืนหรืออาวุธอื่นที่อาจทำให้กำลังพลของเรือถึงแก่ชีวิตหรือได้รับอันตรายสาหัส หรือเกิดความเสียหายวิกฤติแก่เรือหลวงเทพา หรือยุทโธปกรณ์ที่สำคัญ ผู้บังคับการเรือจึงยังไม่สั่งการให้ใช้กำลังที่อาจทำให้ถึงตาย (Deadly Force)  แต่สั่งการให้บังคับเรือหลวงเทพาหลบการพุ่งชนเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย ต่อมาเรือประมงลำดังกล่าวได้พยายามพุ่งเข้าชนอีกสองครั้ง ผู้บังคับการเรือจึงสั่งให้ทำการยิงเตือนและยิงข่ม และสามารถส่งชุดตรวจค้นเข้าจับกุม ควบคุมผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายได้ในที่สุด ซึ่งการปฏิบัติเช่นนี้เป็นการดำเนินการตามกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการดำเนินคดีผู้กระทำผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิการประมงในเขตการประมงไทย พ.ศ.2482 แล้ว กองทัพเรือได้ร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวน สภ.คลองใหญ่ จ.ตราด ให้ดำเนินคดีกับผู้ถูกจับทั้ง 4 นาย ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.138  ฐานร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้าย ม.358 ฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์  และตามประมวลกฎหมายอาญาทหาร ม.22 ฐานร่วมกันทำให้เรือของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวชำรุด อีกด้วย    

"ศรชล. เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาคเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศชาติและประชาชน"


 

ข่าวยอดนิยม