หน้าแรก > สังคม

24 ชั่วโมงข่าว 91 ประจำวันที่ 10 ธันวาคม 2568

วันที่ 11 ธันวาคม 2568 เวลา 05:37 น.


24 ชั่วโมงข่าว 91 ประจำวันที่ 10 ธันวาคม 2568


>> นายกฯ ขอฟังข้อมูลจากกองทัพ กรณีชายแดนไทย - กัมพูชา ยันหากยุบสภาไม่กระทบการปกป้องชายแดน

09.55 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางเข้ามายังอาคารรัฐสภา เพื่อเข้าร่วมประชุมการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 2 พร้อมเผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชาในขณะนี้ ว่า เดี๋ยวกองทัพจะเป็นคนแถลงทุกวันอยู่แล้ว ขอให้พี่น้องประชาชนทุกคนรับฟังข้อมูลจากฝ่ายโฆษกของกองทัพ หรือหน่วยงานความมั่นคงที่จะแถลงข่าวให้รับทราบทุกวัน อย่าไปฟังข่าวจากแหล่งอื่น ขอให้ฟังจากแหล่งเดียว จะได้มีความชัดเจน และถูกต้อง

ส่วนท่าทีของกัมพูชามีการติดต่อประสานมาบ้างหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่มี ส่วนกระแสข่าวว่าที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาพูดผ่านสื่อออกมาว่าอยากพูดคุยเจรจานั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่ได้ มันมีช่องทางในการดำเนินการอยู่แล้ว แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดคุย

ส่วนได้มีการประเมินสถานการณ์ และจำเป็นต้องเปิดหารือขอความเห็นสภาตามมาตรา 165 ในสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตนเองคิดว่าตอนนี้ยังไม่ได้รับการร้องขอใด ๆ และทางกองทัพยังยืนยันว่าเราควบคุมสถานการณ์ได้

ส่วนกระแสข่าวการยุบสภา หากยุบสภาจะกระทบต่องานความมั่นคงตามแนวชายแดนหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่เกี่ยว เรื่องของการปกป้องอธิปไตยของไทย เป็นภารกิจหลักของฝ่ายความมั่นคงอยู่แล้ว


>> รมว.อรรถกร ย้ำไทยดูแลความปลอดภัยนักกีฬาทุกประเทศตามมาตรฐานสากล "กัมพูชา" ถอนตัวเป็นสิทธิไม่กระทบ ซีเกมส์

12.00 น.นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงกรณีที่นักกีฬาจากประเทศกัมพูชา ขอถอนตัวจากการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ทั้งหมดทุกชนิดกีฬาว่า เมื่อวานนี้ประเทศกัมพูชาก็ได้เข้าร่วมพิธีเปิดซีเกมส์ 2025 ในฐานะประเทศในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเราก็ได้ดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกตามมาตรฐานเทียบเท่ากับประเทศอื่น ๆ ที่เข้าร่วมแล้ว

ส่วนที่ประเทศกัมพูชา แจ้งขอถอนตัวคาดว่าน่าจะเป็นสาเหตุในด้านความปลอดภัยนั้น นายอรรถกร กล่าวว่าเราดูแลทุกประเทศตามมาตรฐานสากล ถึงแม้ว่าจะมีความขัดแย้งระหว่างประเทศ แต่เมื่อประเทศกัมพูชาตัดสินใจเช่นนี้ เราก็ต้องเคารพ

“การถอนตัวของกัมพูชาเป็นสิทธิของประเทศเขา แต่ยืนยันว่า ไม่ส่งผลกระทบกับการแข่งขันของนักกีฬาจากประเทศอื่น ๆ การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ก็ยังดำเนินการต่อไปได้ ไม่มีปัญหาอะไร“นายอรรถกร


>> "สิริพงศ์" เผย ฟื้นฟูหาดใหญ่ คืบหน้ากว่า 70% รัฐบาลสั่งการเตรียมรับมือฝนหนักภาคใต้

12.58 น. นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ตามเป้าหมายการฟื้นฟูเมืองหาดใหญ่ “7 วันกลับบ้าน 14 วันเมืองสะอาด” ตามข้อสั่งการของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ขณะนี้มีความคืบหน้ามากกว่า 70% จากข้อมูล (9 ธ.ค.68) ได้มีการขนขยะนำทิ้งแล้ว 71,336 ตัน ทำความสะอาดถนนได้ 254.98 กิโลเมตร จากเป้าหมายทั้งหมด 394.3 กิโลเมตร

ในส่วนของสถานการณ์ ในห้วงถัดไปที่ต้องเตรียมรับมือ รัฐบาล กำชับทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์และแจ้งเตือนฝนตกหนักถึงหนักมากที่จะมีบริเวณภาคใต้ 8 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จ.ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และภาคกลาง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ขอให้เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง ในช่วงวันที่ 11 – 16 ธ.ค. 68 โดยช่วงวันที่ 11 – 12 ธันวาคม 2568 ภาคใต้จะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักหลายพื้นที่บริเวณ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.ชุมพร โดยมีฝนตกหนักมากบริเวณ จ.สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา ส่วนช่วงวันที่ 13 – 16 ธันวาคม 2568 ภาคใต้ตอนล่างยังคงมีฝนตกหนักหลายพื้นที่อย่างต่อเนื่อง บริเวณ จ.นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยายืนยันว่าฝนที่จะตกในห้วงถัดไป ไม่มีลมร่องมรสุมเข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนรอบที่ผ่านมา แต่จะเคลื่อนผ่านแล้วจะเคลื่อนตัวออกไป ฝนที่ตกในภาคใต้จึงจะไม่ใช่ลักษณะการตกแช่ และฝนตกสะสม เหมือนรอบที่ผ่านมา

“รัฐบาล เดินหน้าฟื้นฟูพื้นสงขลาอย่างต่อเนื่อง พรัอมเตรียมแผนป้องกันและรับมือกับฝนที่จะตกในพื้นที่ภาคใต้ สั่งการจังหวัดสำรวจความพร้อมของศูนย์พักพิงชั่วคราว ทั้งระบบน้ำ ไฟ จำนวนที่รองรับผู้อพยพ และสำรวจจัดหาศูนย์พักพิงชั่วคราวหรือจุดปลอดภัยสำรอง หากต้องขยายพื้นที่รองรับประชาชนเพื่อความปลอดภัย รวมถึงจัดหาสิ่งของสำรอง น้ำดื่ม อาหาร ยารักษา และเครื่องนอนให้พร้อมใช้งาน และตรวจสอบยืนยันผู้ประสานงานประจำศูนย์พักพิงเพื่อให้การประสานงานหากเกิดภัย เป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีระบบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนทั้งด้านชีวิตและทรัพย์สิน“ นายสิริพงศ์ กล่าว


>> รถจักรยานยนต์ชนกับรถบรรทุก มีผู้เสียชีวิตเป็นเด็กชายวัย 13 ขวบ ส่วนโชเฟอร์คู่กรณีทิ้งรถหลบหนี ตร.เร่งติดตามตัว

13.20 น. สภ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ ได้รับแจ้งเหตุอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนกับรถบรรทุก มีทั้งผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต บนถนนสายบ้านดงมูล - บ้านศรีสว่าง บริเวณหน้าลานรับซื้อหัวมันสำปะหลัง ในพื้นที่ ต.หนองบัว อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์

ในที่เกิดเหตุกลางถนนพบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีน้ำเงิน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ล้มคว่ำสภาพหน้ารถพังเสียหาย ใกล้กันพบร่างของผู้เสียชีวิต เป็นเด็กชาย อายุ 13 ปี ชาวหนองหิน อ.หนองกุงศรี สภาพศพนอนจมกองเลือด กะโหลกศีรษะแตกจากการกระแทกพื้นอย่างรุนแรง และขาหักผิดรูป นอกจากนี้ยังพบผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย อาการสาหัส เป็นเด็กชาย อายุ 14 ปี เจ้าหน้าที่กู้ชีพเร่งปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนนำตัวส่ง รพ.หนองกุงศรีอย่างเร่งด่วนส่วน คนขับรถบรรทุก 6 ล้อ สีขาว คู่กรณี ไม่พบตัวในที่เกิดเหตุ โดยอาศัยช่วงชุลมุนหลังเกิดเหตุขับรถหลบหนีไป

จากการสอบสวนพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ให้การว่า รถจักรยานยนต์ของผู้ตายได้ขับขี่มาตามทางตรง มุ่งหน้ามาจากบ้านดงมูล เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุซึ่งเป็นหน้าลานมัน รถบรรทุก 6 ล้อคู่กรณีได้ขับออกมาจากลานมันเพื่อจะขึ้นถนนหลัก โดยตัวรถได้โผล่ออกมาขวางถนนไปแล้วครึ่งคัน ทำให้รถจักรยานยนต์ที่มาทางตรงไม่สามารถเบรกหรือหักหลบได้ทัน จึงพุ่งเข้าชนบริเวณด้านข้างของรถบรรทุก อย่างจังเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทันที ส่วนเพื่อนกระเด็นตกจากรถได้รับบาดเจ็บ

เบื้องต้น พนักงานสอบสวนได้ทำการบันทึกภาพที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน และจะตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียง เพื่อติดตามตัวคู่กรณีมาสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


>> เพลิงไหม้ห้องพัก เจ้าหน้าที่ฉีดน้ำดับไฟทัน ไม่ลุกลาม ไม่มีผู้บาดเจ็บ

15.00 น. ศูนย์วิทยุสีครามเมืองพัทยา ได้รับแจ้งมีเหตุเพลิงไหม้ห้องพัก บริเวณซอยข้างโรงพยาบาลกรุงเทพฯพัทยา สุขุมวิทพัทยา 28 หลังรับแจ้งจึงนำกำลังเข้าตรวจสอบ ช่วยกันเหตุเป็นห้องพัก 4 ชั้น เพลิงไหม้อยู่บริเวณชั้นที่ 1 ของตัวอาคาร เจ้าหน้าที่ให้การช่วยเหลือใช้น้ำฉีดดับไฟ เป็นที่เรียบร้อย ในจุดเกิดเหตุไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ

คาดการณ์เบื้องต้นเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรทำให้เกิดเพลิงไหม้ อย่างไรก็ตามหมั่นตรวจเช็คอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด และไม่ควรเสียบปลั๊กที่ไม่ใช้คาทิ้งไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้


>> สืบบางละมุง บุกรวบผัวเมียเมียนมา ตีเนียนขอเช่าห้อง ก่อนเหตุวิ่งราวทอง 3 บาท ตำรวจไล่จับถึงห้องพัก จ.ชลบุรี

15.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงาน กรณีเกิดเหตุคนร้ายชาย,หญิงชาวเมียนมา ทำทีเป็นลูกค้ามาขอเช่าห้องพัก ก่อนฉวยจังหวะกระชากสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท แล้วขี่รถจักรยานยนต์หลบหนี เหตุเกิดในพื้นที่ห้องเช่าแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.ตะเคียนเตี้ย อ.บางละมุง ชุดสืบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพื่อหาเบาะแส เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา 
ต่อมาทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางละมุง พบรถต้องสงสัยจอดอยู่หน้าห้องเช่าในซอยทุ่งกลมตาลหมัน 27 ต.หนองปรือ จึงเข้าตรวจสอบพื้นที่ พบชาย–หญิงชาวเมียนมา กำลังพูดคุยกันในห้อง และเป็นบุคคลเดียวกันกับในกล้องวงจรปิดก่อนหน้า จึงแสดงตัวเข้าควบคุมตัว ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย

เมื่อถูกซักถาม ทั้งคู่มีอาการตกใจ พยายามหลบเลี่ยงการจับกุม แต่สุดท้ายยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุจริง พร้อมพาเจ้าหน้าที่ตรวจยึดของกลางภายในห้องพัก พร้อม ของกลางที่ตรวจยึดได้ประกอบด้วย รถจักรยานยนต์ สีขาว ทะเบียนป้ายแดง เสื้อเชิ้ตสีกรมท่าที่ใช้ก่อเหตุ แหวนทอง 1 สลึง ต่างหูทอง 2 คู่ ใบเสร็จซื้อทองจากห้างทองเยาวราช ทองรูปพรรณบางส่วนที่ซื้อใหม่ หลังนำสร้อยทองของผู้เสียหายไปขายได้เงิน 167,000 บาท

จากการสอบสวน ผู้ต้องหาอ้างว่า อยู่ในสภาวะตกงาน มีลูกถึง 4 คน ทำให้ตัดสินใจก่อเหตุเพื่อนำเงินมาเลี้ยงครอบครัว โดยวางแผนทำทีมาขอเช่าห้อง ก่อนกระชากทองจากคอผู้เสียหายและนำไปขาย แล้วนำเงินบางส่วนกลับไปซื้อทองรูปพรรณใหม่มาใส่แทนของเก่า

ตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า หนังสือเดินทางของทั้งคู่หมดอายุ และอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ตำรวจจึงแจ้งข้อกล่าวหา 2 กระทง ได้แก่ 1.ร่วมกันวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ 2.เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จากนั้นควบคุมตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางละมุง ดำเนินคดีตามกฎหมาย

เจ้าหน้าที่เผยว่า คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์ คนร้ายมีพฤติกรรมอำพรางป้ายทะเบียนและพยายามหลบหนี มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะไปก่อเหตุซ้ำ จึงจำเป็นต้องเร่งรัดติดตามตัวอย่างเร่งด่วนเพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่


>> กองทัพภาค 2 สรุปสถานการณ์ชายแดน เผย กัมพูชาโจมตีไทยหนัก ยิง BM-21 79 ครั้ง ลูกจรวด 3,160 นัด ยิงปืนใหญ่ 122 นัด และใช้โดรนทิ้งระเบิด 125 ลำ

17.00 น. ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 10 ธันวาคม 2568 ระบุว่า ในห้วงเวลาที่ผ่านมา สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่องทุกพื้นที่ โดยฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธยิงสนับสนุนเข้ามาในพื้นที่ฝ่ายไทยในหลายจุดสำคัญ ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อกำลังพลและประชาชนในพื้นที่ โดย กองทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการให้หน่วยปืนใหญ่ฝ่ายเรา ยิงไปยังที่ตั้งอาวุธยิงสนับสนุนต่างๆ ของฝ่ายข้าศึกทุกพื้นที่ ตามหลักการป้องกันตนเอง ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ และกฎการใช้กำลังอย่างเคร่งครัด

สรุปการใช้อาวุธของฝ่ายกัมพูชาห้วงตั้งแต่ 7-10 ธ.ค.68 เวลา 15.00 น. ฝ่ายกัมพูชามีการใช้อาวุธ BM-21 จำนวน 79 ครั้ง ลูกจรวด 3,160 นัด, ใช้ปืนใหญ่ จำนวน 122 นัด และใช้โดรน ทิ้งระเบิด(FPV) ต่อ ฝ่ายเรา จำนวน 63 ครั้ง 125 ลำ

สำหรับการเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือกำลังพลที่บาดเจ็บ หน่วยแพทย์กองทัพภาคที่ 2 ได้เตรียมความพร้อมในการรักษาพยาบาล โดยทำการจัดตั้งที่พยาบาลพร้อมให้การรักษาพลเรือน และกำลังพลทหารเพื่อช่วยชีวิตในภาวะวิกฤต ก่อนที่จะส่งต่อการรักษาไปยังโรงพยาบาลในเขตหลัง โดยการส่งกลับผู้ป่วยดำเนินการด้วยรถพยาบาลเป็นหลัก และในกรณีผู้ป่วยวิกฤต ได้ประสานใช้เฮลิคอปเตอร์พยาบาล (Sky Doctor) เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและปลอดภัยที่สุด


>> โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เผย ฝ่ายไทยยังไม่พร้อมเจรจา

18.00 น. นายนิกรเดช พลางกูร โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทย แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงเที่ยงวันนี้

โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทย กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวที่ทรัมป์บอกว่าจะยกหูโทรศัพท์หาผู้นำสองประเทศ โดยกล่าวว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการติดต่อจากฝ่ายสหรัฐฯ พร้อมย้ำว่าหากมีการพูดคุยกันจริง ไทยจะรับฟังก่อนว่าผู้นำสหรัฐฯ ต้องการส่งสารอะไร โดยคาดว่าอาจเป็นเพียงข้อความแสดงความหวังดีต่อสองประเทศ ทั้งนี้ หากมีข้อเสนอให้เจรจา ไทยยังคงยืนยันจุดยืนเดิมว่า "ยังไม่พร้อม"

"นับจนถึงบัดนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ ว่าจะมีการขอคุยกันในระดับผู้นำคือท่านนายกรัฐมนตรี" หากมีการคุยกัน อย่างแรกเราก็ต้องรับฟังก่อนว่าท่านประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องการจะส่งข้อความอะไร ท่านอาจจะเพียงต้องการส่ง message (ข้อความ) ถึงความหวังดีต่อสองประเทศเท่านั้น"

นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศไทยยังกล่าวย้ำด้วยว่า "หากมีการเสนอให้มีการพูดถึงการเจรจา คำตอบคงเป็นคำตอบเดียวกันกับที่เราให้ฝ่ายมาเลเซีย คือฝ่ายไทยยังไม่พร้อม"

นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทย ยังปฏิเสธรายงานข่าวที่ระบุว่า ไทยตอบรับข้อเสนอหยุดยิงจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยยืนยันว่าข่าวดังกล่าวไม่มีมูลความจริง และนายกรัฐมนตรีไม่ได้ตอบรับข้อเสนอใด ๆ


>> ผบ.ตร.สั่งเฝ้าระวัง "โดรน บุคคลต้องสงสัย" ชายแดนไทยกัมพูชา

18.56 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.สั่งการด่วนกำชับ ตำรวจภูธรภาค 2, ตำรวจภูธรภาค 3 และตำรวจภูธรจังหวัด 7 จังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อชายแดนไทย-กัมพูชา ประกอบด้วย ภ.จว.อุบลราชธานี, ภ.จว.ศรีสะเกษ, ภ.จว.สุรินทร์, ภ.จว.บุรีรัมย์, ภ.จว.สระแก้ว, ภ.จว.จันทบุรี และ ภ.จว.ตราด เพิ่มความเข้มในการตั้งจุดตรวจจุดสกัดป้องกันเหตุ และเพิ่มความถี่ในการการตรวจตรา ลาดตระเวนพื้นที่

โดยเฉพาะจุดสำคัญ จุดเสี่ยงต่างๆ และให้ตรวจตราเฝ้าระวังและปฏิบัติการต่อต้านการใช้อากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน ในพื้นที่ ตามยุทธวิธีอย่างเด็ดขาด และให้สืบสวนหาข่าวเฝ้าระวังบุคคลต้องสงสัย โดยให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดกับผู้ที่มีพฤติกรรมเป็นภัยต่อความมั่นคง


>> รถเทรลเลอร์ เลี้ยวรถพร้อมกับ รถ จยย. เกิดเฉี่ยวชนแล้วทับร่างหญิงวัย 42 ปีผู้ขับขี่เสียชีวิต

19.30 น. สภ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนกับรถพ่วง บริเวณสะพานข้ามมอเตอร์เวย์เส้นทางพิมพา หมู่ 3 ต.พิมพา อ.บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา

ที่เกิดเหตุ พบร่างของ หญิงไทย อายุ 42 ปี เสียชีวิตลักษณะถูกล้อรถพ่วงเหยียบบริเวณสะโพกและขา ใกล้เคียงพบรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า คลิก ทะเบียน กรุงเทพมหานคร พลิกคว่ำอยู่ใต้ท้องรถพ่วง ห่างกันออกไป 100 เมตร พบรถเทรลเลอร์ ฮีโน่ สีขาว หมายเลขทะเบียน ฉะเชิงเทรา จอดอยู่บนสะพานข้ามมอเตอร์เวย์

จากการสอบถามคนเห็นเหตุการณ์เล่าว่า ตนขี่รถ จยย.ผ่านมาเห็นผู้เสียชีวิตกำลังขี่รถ จยย.เลี้ยวขึ้นสะพาน จังหวะพอดีกับรถเทรลเลอร์ที่กำลังเลี้ยวขึ้นสะพานเหมือนกัน ก่อนที่เกี่ยวกับรถ จยย.แล้วลากเข้าใต้รถและทับร่างผู้เสียชีวิต

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ถ่ายภาพในที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน และจะทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดใกล้เคียงที่เกิดเหตุ และเรียกผู้ขับขี่รถบรรทุกมาสอบถามอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป


>> แอมโมเนียรั่วจากโรงน้ำแข็งย่านบางศรีเมือง กลิ่นฉุนฟุ้งกระทบชุมชน เจ้าหน้าที่เร่งปิดวาล์ว – เตือนประชาชนใต้ลมใช้ผ้าชุบน้ำปิดปากจมูกและอพยพชั่วคราว

20.00 น. มีรายงานเหตุแอมโมเนียรั่วไหลจากโรงน้ำแข็งแห่งหนึ่ง ในพื้นที่บางศรีเมือง จังหวัดนนทบุรี ส่งผลให้มีกลิ่นฉุนรุนแรงกระจายทั่วบริเวณ เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยและทีมป้องกันสารเคมีอันตรายเร่งเข้าพื้นที่เพื่อตรวจสอบต้นตอของการรั่วไหลอย่างเร่งด่วน พร้อมปิดกั้นพื้นที่โดยรอบเพื่อความปลอดภัยของประชาชน

จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า จุดเกิดเหตุอยู่ภายในโรงน้ำแข็งในซอยวัดพุฒิปรางค์ปราโมทย์ โดยมีกลิ่นแอมโมเนียลอยฟุ้งกระจายไปยังบ้านเรือนประชาชนที่อยู่ใต้ลม เจ้าหน้าที่จึงแจ้งเตือนให้ประชาชนในรัศมีใกล้เคียงงดออกจากบ้านและปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด

ล่าสุด เจ้าหน้าที่สามารถปิดระบบวาล์วได้สำเร็จ ทำให้การรั่วไหลลดลง แต่ยังคงมีกลิ่นแอมโมเนียตกค้างในพื้นที่บางส่วน ทีมปฏิบัติการยังคงเดินหน้าฉีดพ่นละอองน้ำเพื่อลดความเข้มข้นของกลิ่นและตรวจสอบระดับความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง


>> แผ่นดินไหว ที่เชียงคำ จ.พะเยา

21.58 น.กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา แจ้งเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 2.8 ความลึก 6 กม. ภายในพื้นที่ของ ต.ฝายกวาง อ.เชียงคำ จ.พะเยา ไม่มีรายงานการรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน


>> แผ่นดินไหว บริเวณหมู่เกาะอันดามัน

01.48 น. กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา แจ้งว่าเกิดแผ่นดินไหว ขนาด 4.3 ความลึก 10 กม. บริเวณหมู่เกาะอันดามัน ประเทศอินเดีย ศูนย์กลางห่างไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ประมาณ 382 กม. ไม่มีรายงานผลกระทบต่อประเทศไทย


>> แผ่นดินไหว ที่ประเทศเมียนมา

03.54 น. กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา แจ้งเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 3.7 ความลึก 10 กม. ภายในพื้นที่ของ ประเทศเมียนมา ศูนย์กลางห่างออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ประมาณ 362 กม. ไม่มีรายงานผลกระทบต่อประเทศไทย 
 

 

ข่าวยอดนิยม


ข่าวยอดนิยม